วัดมารวิชัย
ตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังห วัดพระนครศรีอยุธยา 13110

วัดมารวิชัย
ตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13110
วัดมารวิชัย ตั้งอยู่เลขที่ ๔๒ หมู่ ๙ ตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย พื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม ตั้งอยู่ริมคลองขนมจีน เนื้อที่ ๒๑ไร่ ๖๕ ตารางวา
อาณาเขต
ทิศเหนือ ยาว ๓ เส้น ติดทางสาธารณะ
ทิศใต้ ยาว ๓ เส้น ๑๐ วา ติดที่ดินนายแป๊ะ
ทิศตะวันออก ยาว ๗ เส้น ๙ วา ติดที่ดินนายเทียน นางนวม และนายสมาน
ทิศตะวันตก ยาว ๗ เส้น ๙ วา ติดลำคลองขนมจีน ที่ธรณีสงฆ์ ๒ แปลง เนื้อที่ ๓๙ ไร่ ๒ งาน ๓๖ ตารางวา
โฉนดเลขที่ ๕๒๐๘,๖๒๐๓
ความเป็นมาของวัดมารวิชัย
สันนิษฐานตามคำบอกเล่าสืบๆกันมาว่า เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเพราะว่า หลังอุโบสถด้านเหนือ มีเนินดิน ชาวบ้านขุดพบซากกำแพงเก่าที่สร้างด้วยอิฐมอญก้อนใหญ่ถูกกองทัพพม่าเผาทำลายเป็นซาก แล้วทับถมกลายเป็นโคกดังที่ชาวบ้านเรียกเนินดินนั้นว่า "โคกวิหาร"
โคกวิหารอาถรรพณ์
โคกวิหารแห่งนี้มีอาถรรพณ์ เกิดจากสาเหตุที่กองทัพพม่ายกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๗ โดยตั้งทัพที่บ้านสีกุก อำเภอบางบาล
ซึ่งห่างจากวัดมารวิชัยประมาณ ๗ กิโลเมตร ทหารพม่าปล้นสะดมเผาผลาญทำลายวัดวาอารามและวัดมารวิชัยก็ถูกเผาทำลายสิ้นซากกลายเป็นวัดร้างมาตั้งแต่บัดนั้นวิญญาณชาวบ้านที่ถูกผ่าตายจำนวนมาก จึงวนเวียนสิงสู่อยู่ที่โคกวิหารนั่นเอง เมื่อผู้ใดไปรบกวนดวงวิญญาณที่มีแต่ความอาฆาตแค้นก็ถูกทำร้ายให้มีอันเป็นไปต่างๆนานาทันทีจนบริเวณนั้นไม่มีใครกล้าเข้าใกล้และเป็นที่ "วัดมารวิชัยผีดุ" เรื่องที่วัดมารวิชัย มีผีนั้นเป็นเรื่องที่เลื่องลือไปทั่วแม้แต่ หลวงพ่อวี (ฤาษีลิงดำ) ซึ่งเป็นศิษย์เอกองค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคยังนำไปเขียนและบอกเล่าให้หมู่ศิษย์ทั้งหลายฟังอยู่เสมอต่อมาหลวงพ่อมี ผู้ทรงญาณสมาบัติเห็นว่ามักมีชาวบ้านรู้เท่าไม่ถึงการณ์เสียชีวิต เมื่อไปรบกวนถูกสถานที่มีอาถรรพณ์ร้ายแรงนั้นเข้า ท่านจึงทำพิธีขอขมาดวงวิญญาณบรรดาสัมภเวสีสร้าง "ฌาปนสถาน" ทับเนินดินเป็นการแก้อาถรรพณีในปี ๒๕๑๐ ทำให้ดวงวิญญาณที่มีแต่ความอาฆาตไปผุดไปเกิดใหม่ยังที่สุคติ ด้วยอานิสงส์ที่สร้างฌาปนสถาน ความทรงญาณแก่กล้าของหลวงพ่อมี
หลวงตามืดสร้างวัดขึ้นใหม่
วัดมารวิชัย กลายเป็นวัดร้างมานานถึง ๗ ปี ต่อมาประมาณปี พ.ศ.๒๓๗๙ มีพระธุดงค์องค์หนึ่งมาสร้างวัดขึ้นใหม่ด้วยสาเหตุที่นัยน์ตาของท่านบอดมืดทั้ง ๒ ข้าง ชาวบ้านจึงเรียกท่านว่า "หลวงตามืด" แต่ท่านยังสามารถบิณฑบาตจำทางไปบ้านของชาวบ้านได้อย่างแม่นยำทั้งยังมีความสามารถในการก่อสร้างต่างๆอีกด้วย หลวงตามืดจึงนับเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกที่ได้สร้างวัดขึ้นใหม่แล้วตั้งชื่อว่า "วัดผจญมาร" มีความหมายถึง วัดที่เคยถูกข้าศึกรุกรานมานานแล้ว
เจริญในสมัยหลวงพ่อสุวรรณ หลวงตามืดเป็นเจ้าอาวาสมานานถึง ๑๖ ปีก็มรณภาพในปีพ.ศ.๒๓๙๕ หลวงปู่ชื่น วัดสุธาโภชน์(วัดขนมจีน) ซึ่งเป็นพระอาจารย์เรื่องวิชาที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น มอบให้หลวงพ่อสุวรรณมาเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 6 หลวงพ่อสุวรรณได้ก่อสร้างอุโบสถ และเสนาสนะต่างๆจนเจริญรุ่งเรืองมาก จวบจนถึงแก่การมรณภาพเมื่ออายุ ๖๕ ปี
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
วัดผจญมาร ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ให้เป็นวัดที่มีเขตทำสังฆกรรมโดยสมบูรณ์ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๔๕ สมัยพระอาจารย์หลง เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๕ แต่มีเหตุต้องลาสิขา
สร้างอุโบสถใหม่
พระอาจารย์ทอง เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๖ ได้เริ่มโครงการก่สร้างอุโบสถใหม่ด้วยการก่ออิฐถือปูน แต่ยังไม่ทันสร้างก็มีเหตุจำเป็นต้องลาสิกขา
เริ่มสร้างอุโบสถ ในปี พ.ศ.๒๔๕๑ พระอาจารย์เทศ เจ้าอาวาสองค์ที่ ๘ ได้นิมนต์ พระญาณไตรโลก วัดศาลาปูน มาเป็นประธานก่อสร้างอุโบสถ แต่ยังไม่ทันเสร็จพระอาจารย์เทศก็มาด่วนลาสิกขา
หลวงพ่อปานมาสร้างศาลา
พระอาจารย์เผื่อน เจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ได้นิมนต์ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค มาสร้างศาลาการเปรียญ หลังใหญ่จนเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๖๘ แล้วดำริจะสร้างอุโบสถที่ค้างมานานให้เสร็จแต่มีพระภิกษุชรา ๒ รูปคัดค้าน ไม่ยอมให้หลวงพ่อปานตัดต้นกระทุ่มเพื่อขยายพื้นที่ เพราะเกรงรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่จะทำรายหลวงพ่อปานจึงเลยไปสร้างอุโบสถที่วัดสามตุ่มต่อไป ส่วนพระอาจารย์เผื่อนยังไม่ทันสร้างอุโบสถต่อก็มาลาสิกขาไปอีก
ตั้งสำนักพระปริยัติธรรม
หลวงพ่อคล้าย เจ้าอาวาสองค์ที่ ๑0 ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านการก่อสร้าง และการศึกษาเป็นอย่างมากโดยจัดตั้งสำนักเรียนพระปริยัติธรรมครั้งแรกในปี ๒๔๙๕ และยังใช้ศาลาการเปรียญเป็นโรงเรียนประชาบาลสำหรับบุตรหลานของชาวบ้านทั่วไป นับว่าหลวงพ่อคล้ายเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญที่เป็นผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่วัดสืบต่อมาถึงบัดนี้ แต่น่เสียดายที่หลวงพ่อคล้ายมาด่วนลาสิกขาไปครองเรือนเมื่อปี ๒๔๘๑ และขอให้หลวงพ่อมีช่วยสร้างอุโบสถต่อโดยให้สัญญาว่า ถ้าภายใน ๒0 ปีไม่มีบุตร จะกลับมาอุปสมบทใหม่ ๒0 ปีต่อมาท่านไม่มีบุตรจริงๆ จึงกลับมาบวชอีกครั้งตามที่สัญญาตราบจนถึงแก่กาลมรณภาพอย่างสงบเมื่ออายุ ๘๐ ปีและก่อนที่จะมรณภาพ ท่านสามารถรู้วันเวลาตายได้อย่างน่าอัศจรรย์
เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดมารวิชัย"
เมื่อ หลวงพ่อมี เป็นเจ้าอาวาสขณะนั้นเพิ่งสำเร็จอสุภกรรมฐานมากับ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ได้ใช้วิจารณญาณเห็นว่า "วัดผจญมาร" นั้นชื่อไม่เป็นมงคล ต้องผจญมารกันอยู่เรื่อย ตั้งแต่หลวงตามีด ผู้สร้างวัดและหลวงพ่อสุวรรณเจ้าอาวาสองค์ที่ ๒ ถึงแก่กาลมรณภาพในผ้าเหลืองแล้ว เจ้าอาวาสองค์ต่อมาอีก ๘ รูปล้วนมีอันเป็นไปต้องลาสิกขา แม้แต่หลวงพ่อคล้าย ที่ปฏิบัติกรรมฐานเคร่งครัดก็ยังพ่ายแพ้แก่มารต้องลาสิกขา หลวงพ่อมีจึงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็น "วัดมารวิชัย" หมายถึง "การมีชัยชนะแก่มารทั้งปวง"


พระประธานในอุโบสถ
ปางมารวิชัย หรือ ชนะมาร หรือ มารสะดุ้ง เป็นพระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระประธานในอุโบสถ มีชื่อเรียกว่า "หลวงพ่อวิชิตมาร"' เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย (มาระพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงที่พระซานุ นิ้วพระหัตถ์ขี้ลงที่พื้นธรณีในคราวที่พระองค์ทรงเอาชนะมารได้ ใครได้มากราบไหว้ขอพร ก็จะได้รับชัยชนะทุกประการ

อุโบสถวัดมารวิชัย
เป็นอุโบสถเก่าแก่ ที่มีอายุครบ ๑๗๒ ปี เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๕
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๔๕ ตัวอุโบสถได้รับการปฏิสังขรณ์โดยการยกตัวอุโบสถให้สูงขึ้น และสามารถเดินลอดใต้โบสถ์ได้ในปีพ.ศ.๒๕๖๓

องค์พระราหูด้านหน้าและหลังอุโบสถ
เป็นสถาปัตยกรรมนูนชั้นที่ได้สร้างขึ้นเมื่อครั้งบูรณะอุโบสถเป็นองค์พระราหูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาไหว้ขอพรและเดินลอดเข้าปากพระราหูเพื่อลอดลงใต้โบสถ์และออกทางปากพระราหูอีกทางหนึ่ง

มณฑปเกษมคณาภิบาลนุสรณ์
เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งภายในวัด ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนเดินทางมากราบขอพรซึ่งภายในประดิษฐานหีบโลงแก้วที่บรรจุสังขารของพระครูเกษมคณาภิบาล (หลวงปู่มี เขมธมโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย พระเกจิคณาจารย์ที่สังขารท่านไม่เน่ายังคงอยู่ให้ผู้คนได้มากราบไหว้ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพราะท่านนั้นเป็นศิษย์ที่สิบทอดวิชาจากหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ภายในนั้นก็จะมีรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์หลายรูป มีวัตถุมงคลที่ยังทันในสมัยที่หลวงปู่มีได้ปลุกเสกไว้มากมาย

รูปหล่อเหมือนอดีตเจ้าอาวาส
เป็นรูปหล่อเหมือนเนื้อสำริด เนื้อทองเหลือง ที่มีหลายขนาด ที่ทางวัดได้จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์และนักท่องเที่ยวก็สามารถเดินทางมาปิดทอง ขอพรได้ตลอดทุกวัน

อาคารปฏิบัติธรรมวัดมารวิชัย
เป็นอาคารที่ก่อสร้างด้วยปูน ภายในอาคารตกแต่งด้วยไม้ เป็นสถานที่รองรับพุทธศาสนิกชนที่มาสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ ซึ่งภายในอาคารนั้นประดิษฐานพระแก้วมรกตบนธรรมาสน์บุษบกที่มีอายุเก่าแก่เป็นพระประธานประจำอาคารปฏิบัติธรรมธรรมชาติรอบเรือนทรงไทยจตุรมุขเป็นจุดไหว้พระขอพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่สามารถเดินตามทางใต้ร่มไม้ที่มีความร่มรื่น